กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย ประจำเดือนมกราคม2562:Waiting for you
Key Takeaways :
ปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง คาดกำไรของบริษัทจดทะเบียนโต13% ตลาดปีนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 1,550 – 1,840 จุดSet Index ปรับตัวลดลง -4.7% ในเดือนธันวาคม 2561
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในเดือนธันวาคม 2561 Set Index ปรับตัวลดลง 77.2 จุด จากระดับ 1,641.08 จุด ลงมาปิดที่ 1,563.88 จุด คิดเป็นการปรับตัวลดลง-4.7% โดยได้รับแรงกดดันหลักจากปัจจัยลบในต่างประเทศ ได้แก่ สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ , การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED , Government Shutdownของสหรัฐ รวมถึงการปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจในปีหน้าลง
โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวขึ้นสูงสุด ได้แก่ กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์+1.1% กลุ่มพาณิชย์-1.8% และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -2.4% ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลงมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการเกษตร-12.5% กลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง-9.3% และกลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต-7.6% โดยนักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิ 293 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันเป็นผู้ซื้อสุทธิ 5,671 ล้านบาท
สงครามการค้ายังไม่ได้ข้อยุติ
สหรัฐฯ และจีน ประกาศสงบศึกการค้า90วัน
เริ่มจากช่วงต้นเดือนธันวาคมสหรัฐฯ และจีน ประกาศสงบศึกการค้า90วันนับจากต้นเดือนธันวาคม 2561 ส่งผลให้เส้นตายการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐถูกเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 1 มีนาคม 2562 ทางฝั่งของจีนก็ได้ส่งสัญญาณลดภาษีนำเข้ารถยนต์สหรัฐฯ และจะมีการกลับมานำเข้าถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมจากสหรัฐอีกครั้ง ซึ่งข่าวนี้ได้ส่งผลให้SET Indexปรับตัวขึ้นทดสอบ1,680จุดในช่วงต้นเดือนธันวาคม
อย่างไรก็ตามได้มีข่าวการการจับกุม นางMeng Wanzhouในประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นรองประธานและCFO อีกทั้งยังเป็นลูกสาวของผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทHuawei โดยการจับกุมดังกล่าวเกิดขึ้นจากคำสั่งของทางการสหรัฐในข้อหาการทำธุรกรรมกับประเทศอิหร่าน สร้างความกังวลให้กับนักลงทุน เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบการเจรจาทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ
ขณะที่ในช่วงต้นเดือนมกราคม2562 คณะเจ้าหน้าที่สหรัฐนำโดยนายเจฟฟรีย์ เจอร์ริช รองผู้แทนการค้าสหรัฐเป็นผู้นำในการเจรจายุติสงครามการค้ากับประเทศจีน ด้านกระทรวงพาณิชย์จีนเปิดเผยว่า จีนและสหรัฐได้เจรจาการค้าที่เพิ่มจบไปเมื่อเร็วๆนี้เกี่ยวกับประเด็นเชิงโครงสร้างเช่น การป้องกันถูกบังคับถ่ายทอดเทคโนโลยี และประเด็นเรื่อทรัพย์สินทางปัญญา แต่ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดแต่อย่างใด
FEDขึ้นดอกเบี้ยตามคาด
FEDปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็น2.5%ตามคาดการณ์
ส่วน กนง.ขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 7 ปีเป็น 1.75%
ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ(FED)งวดประจำเดือนธันวาคม ได้มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ 2.5%ตามที่ตลาดคาดการณ์ แต่ในการประชุมมีการระบุถึงแนวโน้มที่จะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี2019ลง จากเดิม 3 ครั้ง เหลือเพียง 2 ครั้ง ถือเป็นปัจจัยบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง ส่วนในฝั่งของไทย กนง. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 7 ปีสู่ระดับ 1.75% พร้อมกับปรับลดการคาดการณ์ GDP ปี 2018 ลงเหลือ 4.2% และปี 2019 ลงเหลือ 4% จากการชะลอตัวของภาคการส่งออก แต่ยังประเมินว่าเศรษฐกิจภายในประเทศยังแข็งแกร่ง รวมทั้งการบริโภคยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง
Government Shutdown
หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐหยุดทำการกว่า3สัปดาห์ จนถึงปัจจุบันยังไม่ได้ข้อยุติ
การปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐ เกิดขึ้นหลังจากวุฒิสภาลงความเห็นไม่อนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ซึ่งครอบคลุมงบฯ ก่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโกที่มีมูลค่าสูงถึง5,700ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า185,000ล้านบาท ส่งผลให้หน่วยงานภาครัฐบางส่วนต้องปิดทำการตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 22 ธ.ค.ตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดรัฐบาลกลางราว800,000 คนไม่ได้รับเงินค่าจ้าง กว่า380,000คนต้องหยุดงานเป็นการชั่วคราว และจะมีเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานสำคัญที่ต้องทำหน้าที่โดยไม่ได้รับค่าจ้างในช่วงชัตดาวน์ ได้แก่ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบของสำนักงานรักษาความปลอดภัยด้านการขนส่งแห่งสหรัฐ พัศดี เจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) และเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนชายแดน ซึ่งจนถึงปัจจุบันยังยังไม่ได้ข้อยุติ
ความเห็น
ปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง คาดกำไรของบริษัทจดทะเบียนโต13%
ถึงแม้ว่าในปี2018ที่ผ่านมา ปัจจัยจากต่างประเทศจะมีบทบาทต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตามในแง่ปัจจัยพื้นฐานยังถือว่าแข็งแกร่ง โดยจากข้อมูลของAnalyst Consensusคาดการณ์ว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยจะเติบโตสูงถึง 13% เมื่อเทียบกับปี 2017
สงครามการค้าสหรัฐ-จีน น่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้
สำหรับประเด็นที่สร้างความปั่นป่วนหลักให้แก่ตลาดหุ้นทั่วโลกคือ ประเด็นสงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ อย่างจีนและสหรัฐฯ Allfinnยังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่า "น่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้" เพราะผลของมาตรการต่างๆที่ทั้งสองฝ่ายได้ห่ำหั่นกัน ได้ส่งผลเสียต่อทั้งสองประเทศ โดยตัวเลขเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่ายเริ่มแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่รุนแรงกว่าที่คาดการณ์ โดยทางการจีนประกาศตัวเลขเศรษฐกิจในเดือนธันวาคม ด้านการนำเข้าลดลง 7.6% ขณะที่การส่งออกลดลง4.4% ด้านสหรัฐเองไม่ได้มีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจเนื่องจากGovernment Shutdown อย่างไรก็ตามหากดูจากประมาณการณ์ยอดขายของบริษัทแอปเปิ้ลที่ลดประมาณการณ์ยอดขายลดลงเหลือ 8.4 หมื่นล้านดอลลาร์ จากเดิมที่คาดไว้ในช่วง 8.9-9.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 9.15 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งผลให้หุ้นแอปเปิ้ลดิ่งลงอย่างรุนแรงจาก232usd/หุ้นในเดือนตุลาคม ลงมาปิดที่150usd/หุ้นในปัจจุบัน
Election Rally ความหวังที่ยังคงต้องรอ
ด้านการเลือกตั้งซึ่งเป็นความหวังหลักของนักลงทุนชาวไทย ยังคงไม่มีความแน่นอน โดยนักลงทุนไทยและต่างชาติยังคงเฝ้ารอผลการเลือกตั้ง เพื่อพิจารณาถึงความมีเสถียรภาพของรัฐบาลชุดใหม่และความต่อเนื่องของนโยบายและแผนพัฒนาเศรษฐกิจโดยหากมีความแน่ชัดเรื่องวันเลือกตั้งคาดว่าน่าจะทำให้เกิด "Election Rally" ได้
ระยะสั้นมองว่าSETจะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ 1550-1600จุด
ระยะสั้นมองว่าSETจะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ 1550-1600 จุด เนื่องจากยังมีปัจจัยที่ยังคงต้องรอความชัดเจนอีกหลายเรื่อง อย่างไรก็ตามAllfinnมีมุมมองว่า SET ได้ผ่านจุดต่ำสุดในรอบนี้ไปแล้ว
แนะนำหาจังหวะสะสม เพื่อรอปัจจัยบวก คาดตลาดปีนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 1,550 – 1,840 จุด
Allfinnยังคงมองว่าความผันผวนในช่วงนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีในการทยอยสะสม เพื่อรอจังหวะตลาดคลายความวิตกจากประเด็นเชิงลบต่างๆที่เข้ามาในช่วงนี้ ทั้งนี้เรามองว่าตลาดได้ซึมซับปัจจัยเชิงลบต่างๆไปค่อนข้างมากแล้ว โดยปัจจุบันค่าP/Eของตลาดในปี2019คิดเป็นเพียง 13.9 เท่า โดยเราคาดว่าปีนี้ตลาดจะเคลื่อนไหวในช่วงกรอบกรอบค่าพีอีประมาณ 13.5 – 16 เท่า หรือคิดเป็นดัชนีอยู่ในช่วง 1,550 – 1,840 จุด จึงแนะนำทยอยเข้าสะสม