ไทย
Eng
หน้าแรก
รู้จักเรา
บทความ
ติดต่อเรา

language Language:

กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย ประจำเดือนธันวาคม2563 : End of the Walk Way

09 ธันวาคม 2563, 16.00น   752 views

Key Takeaways :

ความสำเร็จในการทดลองวัคซีนโควิด ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้าซื้อหุ้นไทยครั้งแรกในรอบ15เดือน อย่างไรก็ตามUNเตือนว่า โควิดอาจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกไปอีก10ปี จึงแนะนำให้นักลงทุนระมัดระวังการลงทุน
SET Indexปรับตัวเพิ่มขึ้น+17.9% ในเดือนพฤศจิกายน

ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤศจิกายน2563 ดัชนี SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 1,194.95 จุด มาปิดที่ 1,408.31 จุด คิดเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้น +17.9% โดยปัจจัยบวกหลัก ได้แก่ ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และ การคิดค้นวัคซีนCovid-19ได้สำเร็จ

โดยกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมีฯ +37.4% กลุ่มธนาคาร +28.9% กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ +28.2% ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนต่ำสุด คือ กลุ่มธุรกิจการเกษตร -9.9% โดยนักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ซื้อหุ้นไทยสุทธิ 32,643.75 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิทั้งสิ้น 3,104.28 ล้านบาท

วัคซีนโควิด ดันตลาดหุ้นทั่วโลก

นักลงทุนต่างชาติ กลับเข้าซื้อตลาดหุ้นไทยครั้งแรกในรอบ15เดือน

หลังจากที่เราแนะนำให้นักลงทุนเฝ้าติดตามข่าวการพัฒนาวัคซีนCovid-19 อย่างยาวนานมากว่า4เดือน ล่าสุดในเดือนพฤศจิกายนก็มีการประกาศผลการทดลองวัคซีนCovid-19 จาก3ผู้พัฒนาหลักออกมา ได้แก่

  • Pfizer-BioNTech มีประสิทธิภาพป้องกัน COVID-19 สูงถึง 95%<และได้ยื่นเรื่องขออนุญาตต่อFDA เพื่อพิจารณาใช้เป็นกรณีฉุกเฉินแล้ว
  • Moderna มีประสิทธิภาพป้องกัน COVID-19 สูงถึง 94.5% และสามารถจัดเก็บได้ที่อุณหภูมิ 2 ถึง 8 องศาเซลเซียส ได้ถึง 30 วัน ทำให้สะดวกต่อการขนส่ง
  • AstraZeneca-Oxford มีประสิทธิภาพป้องกัน COVID-19 ได้ 90% และสามารถป้องกัน COVID-19ได้ในทุกช่วงอายุ

ซึ่งหลังจากที่มีการประกาศผลความคืบหน้าการทดลองวัคซีนออกมา ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกคาดหวังถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก โดยมีเม็ดเงิน(Fund flow)ไหลเข้าตลาดเอเชียกว่า14,651 ล้านเหรียญ และ ไหลเข้าซื้อในตลาดหุ้นไทย 1,225 ล้านเหรียญ หลังจากมีการขายสุทธิ 15 เดือนติดต่อกัน

Bidenคว้าชัย

Bidenคว้าชัย แต่เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจอาจน้อยกว่าที่คาด

ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ อย่างไม่เป็นทางการ ณ.วันที่8ธันวาคม2563 นายJoe Biden เป็นฝ่ายคว้าชัยได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯคนที่ 46 โดยได้คะแนนเสียงไปทั้งสิ้น 306:232 เสียง

อย่างไรก็ตามการที่ผลการเลือกตั้งบ่งชี้ว่า พรรค Diocratได้ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ในขณะที่พรรค Republicanเป็นฝ่ายครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐในเฟส4 ซึ่งอาจลดลงมาอยู่ที่ 1 ล้านล้านเหรียญฯ (ต่ำว่าในกรณีที่พรรคDiocratชนะทั้งสองสภา ซึ่งคาดการณ์กันไว้ที่ 2.2 ล้านล้านเหรียญ)

ความเห็น

ตลาดเข้าสู่โหมด "ระวังอันตราย"

หลังจากช่วงเวลาแห่งความหอมหวานของตลาดหุ้นไทยดำเนินมายาวนานกว่า 9 เดือน จากนี้ไปก็จะเริ่มเข้าสู่โหมดที่เรียกว่า "ระวังอันตราย"

เพราะธรรมชาติของตลาดหุ้นข้อหนึ่ง ก็คือ..

เวลาที่ตลาดเป็นขาขึ้น มักเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่เวลาตลาดเป็นขาลงจะลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว หรือ ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คือ "ขึ้นบันได แต่ลงลิฟท์..."

สงครามการค้ายังไม่จบ

ถ้าใครได้ติดตามบทวิเคราะห์ของเรามาตลอด จะรู้ว่าเราเน้นย้ำถึงประเด็นนี้มาตลอดว่า ต่อให้Bidenได้เป็นประธานาธิบดี ก็ไม่ได้หมายความว่าสงครามการค้าจะจบลง

ล่าสุด เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2563 "ปู่โจ" ก็ได้ออกมาให้ข่าวในWall Street journalว่า  "ตนไม่มีแผนจะยกเลิกข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-จีน เฟสที่ 1 ซึ่งประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามไว้เมื่อต้นปี และย้ำว่า จะไม่มีการยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนแต่อย่างใด"

ซึ่งหมายความว่า จีนจะต้องนำสั่งสินค้าจากสหรัฐไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงปีนี้ และปีหน้า...
ซึ่งในสภาวะที่จีนพึ่งฟื้นจากโควิดเช่นนี้ ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

"วัคซีนไม่ใช่ยาวิเศษ"

สำหรับเรื่องวัคซีน เราเองก็ได้เน้นย้ำมาหลายตลอดหลายเดือนว่า "ต่อให้มีวัคซีน ก็ไม่ได้แปลว่าวิกฤติจะจบ"

ล่าสุดนายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ(UN) ก็ได้ออกมาเตือนว่า "วัคซีนไม่ใช่ยาวิเศษ เพราะวัคซีนป้องกันได้แค่ไวรัส แต่ความเสียหายอื่นๆอาจต่อเนื่องยาวนานได้ถึง10ปี" ซึ่งหลายประเทศอาจจะเลือกระหว่างการเอาเงินมาซื้อวัคซีน หรือจะเอาเงินมาจ่ายคืนหนี้สาธารณะ

ในความเห็นของเรา ไม่ว่าจะเลือกทางใด กว่าวิกฤติจากCOVIDจะจบ ก็คงต้องใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่า2ปี!

ระวังSecond Wave

แต่สำหรับCOVIDในไทย สิ่งที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด คือตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศ ซึ่งพร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ

โดยล่าสุดก็มาจากคนไทยที่หลบเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย พร้อมพกของฝากมาเป็นเชื้อCOVID Importตรงจากจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะหากเหลือบมองประเทศรอบข้าง ล้วนแล้วแต่เจอSecond แบบคุมไม่อยู่แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น

  • พม่า จำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน อยู่ที่ระดับ 1000-1500 ราย ต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนตุลาคม จนยอดสะสมทะลุ 101,000 รายเล้ว
  • ฟิลิปปินส์ จำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน อยู่ที่ระดับ 1,500-2,000 ราย ยอดสะสม 440,000ราย
  • มาเลเซีย จำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน อยู่ที่ระดับ 1,000-1,500 ราย ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคน ยอดสะสม 75,000ราย
  • ไทย จำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน ???

แต่สำหรับภาคธุรกิจไทย แค่ปีนี้ก็เหนื่อยจะแย่แล้ว ถ้าเจอSecond Waveอีกรอบ บอกเลยว่า "เท้าก่ายหน้าผากแน่ๆ"

การเมืองไทย ชนเพดาน แล้ววนกลับเป็นงูกินหาง

สำหรับความเสี่ยงอีกเรื่อง ที่จะไม่พูดถึงก็คงจะไม่ได้ นั่นก็คือเรื่องการเมือง ซึ่งยังคงเป็นปัญหาไม่จบไม่สิ้น ฝั่งนึงใช้กลยุทธ์การทหาร "หลังพิงฝา ข้าไม่ถอย" ขณะที่อีกฝั่งใช้กลยุทธ์ "จริงคือลวง ลวงคือจริง"

แต่ยังไงก็แล้วแต่ อยากฝากไว้ว่า ยังไงเราก็คงไทยด้วยกัน เบากันได้ก็เบากันหน่อย

P/Eหุ้นไทย ทะลุเพดาน แพงระยับ

ในแง่มุมมองตลาด หากมองในแง่ดัชนี จะพบว่า พุ่งทะยานทำจุดสูงสุดอย่างต่อเนื่อง ใครที่ตามบทวิเคราะห์ของเรากันมา เราก็ยังคงมองเป้าหมายการดีดตัวรอบนี้จุดเดิม คือ ที่ระดับไม่เกิน 1,500จุด

เพราะที่ระดับดัชนีที่1480จุด ต้องบอกว่า ตลาดหุ้นไทย "โคตรแพง" Forward P/E พุ่งทะลุเพดานที่ระดับ 27.68 เท่า (ค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ระดับ 14-15เท่า)

ขายลดพอร์ต ทุกระดับราคา

ดังนั้น บทสรุปกลยุทธ์การลงทุนประจำเดือนธันวาคม สำหรับนักลงทุนทุกกลุ่มก็คือ "ขายลดพอร์ต ทุกระดับราคา" เพื่อเตรียมสะสมกระสุน สำหรับการกลับเข้าซื้อใหม่อีกครั้ง

สุดท้ายก็คงอยากเน้นย้ำถึงคำที่คุ้นหู เวลาที่อยู่สนามบินก็คือ "โปรดระวังสิ้นสุดทางเลื่อน.."

หมวดหมู่ : Monthly Report

บทความแนะนำ

แอดไลน์มาคุยกับเราได้นะ^^

 
แอดไลน์มาคุยกับเราได้ที่

Line : @allfinn