ไทย
Eng
หน้าแรก
รู้จักเรา
บทความ
ติดต่อเรา

language Language:

สภาวะตลาดหุ้นไทย ประจำเดือนกรกฎาคม2561 : “It stopped raining”

01 สิงหาคม 2561, 21.32น   382 views

Key Takeaways :

จับตาประเด็นการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ที่อาจมีนโยบายชาตินิยมเพิ่มเติม ระยะสั้นคาดว่าตลาดมีโอกาสจะเกิดความผันผวนสูงขึ้น
SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.6% ในเดือนกรกฎาคม2561

ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในเดือนกรกฎาคม 2561 SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.6% หลังจากที่ตลาดปรับตัวลงแรงในช่วง 2 เดือนก่อนหน้า โดยปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการประกาศผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไตรมาสที่ 2 ที่มีอัตราการเติบโตดีกว่าที่คาด และแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศในไตรมาสที่ 2 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่าผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของบริษัทจดทะเบียนฯน่าจะมีโอกาสเติบโตได้ถึง 15-20% YoY อย่างไรก็ตามนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิอย่างต่อเนื่องถึง 10,622 ล้าน ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิ 34,095 ล้านบาท

เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง

เศรษฐกิจของประเทศในไตรมาสที่ 2 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

กลุ่มธนาคารพาณิชย์มีการประกาศผลประกอบการออกมาดีกว่าที่คาด โดยผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีการเติบโตถึง 17% YoY แม้ว่าจะเริ่มได้รับผลกระทบเชิงลบจากการลดค่าธรรมเนียมธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อประกอบกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศในไตรมาสที่ 2 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 1 ที่มีการเติบโต 4.8% จึงมีการคาดการณ์ว่าผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของบริษัทจดทะเบียนฯน่าจะมีโอกาสเติบโตได้ถึง 15-20% YoY

นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ

SET Indexปรับตัวขึ้น6.6% แต่นักลงทุนต่างชาติยังคงเทขายต่อเนื่อง

SET Index สามารถกลับมายืนเหนือระดับ 1,700 จุดได้อีกครั้ง โดยปิดที่1,701.79จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.6% จากเดือนก่อนหน้า โดยหุ้นกลุ่มหลักที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ +13.1% กลุ่มปิโตรเคมี +9.8% และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ +9.4% ในขณะที่หุ้นกลุ่มหลักที่ปรับขึ้นน้อยที่สุดในช่วงเวลาเดียวกัน ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ +3.5% กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ +4.2% และกลุ่มโรงแรม +4.5% โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 10,622 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิ 34,095 ล้านบาท

Trade War

สหรัฐฯเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนจำนวน $34,000 ล้าน

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยสหรัฐฯเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนจำนวน $34,000 ล้าน ในอัตรา 25% สำหรับสินค้าประเภทชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ชิ้นส่วนเครื่องบิน และหุ่นยนต์ นอกจากนั้นยังพิจารณาจะเก็บภาษีเพิ่มอีกมูลค่า $16,000 ล้าน ในขณะที่จีนก็มีการตอบโต้ในระดับเดียวกัน โดยเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯจำนวน $34,000 ล้าน ในอัตรา 25% ในสินค้าประเภทสินค้าเกษตรและยานยนต์ และกำลังพิจารณาจะเก็บภาษีเพิ่มอีกมูลค่า $16,000 ล้านเช่นกัน ซึ่งทำให้สหรัฐฯประกาศจะเพิ่มการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก $200,000 ล้าน ในอัตรา 10%

ความเห็น

ระยะสั้นคาดว่าตลาดมีโอกาสจะเกิดความผันผวนสูงขึ้น

ในระยะสั้นคาดว่าตลาดมีโอกาสจะเกิดความผันผวนสูงขึ้น เนื่องจากSET Index ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 120 จุดในระยะเวลาเพียง 1 เดือน อาจทำให้มีแรงขายทำกำไรเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะหลังจากการประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2 เสร็จสิ้นแล้ว นอกจากนี้แนะนำให้จับตาประเด็นการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์อาจมีการประกาศนโยบายชาตินิยมเพิ่มเติมเพื่อสร้างคะแนนเสียงซึ่งจะเป็นประเด็นเชิงลบต่อสถานการณ์การค้าโลก

ในระยะยาวยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้น

อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวเรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้น เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเติบโตได้ดีและเริ่มมีการกระจายรายได้ไปยังทุกภาคส่วน ทั้งภาคการบริโภค การส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุน แม้ว่าการกระจายรายได้สู่ผู้มีรายได้น้อยยังเป็นปัญหาอยู่ก็ตาม รวมถึงโครงการ EEC ของภาครัฐบาลที่เริ่มเดินหน้าชัดเจนขึ้น ทำให้มีแนวโน้มที่จะช่วยกระตุ้นการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนได้ นอกจากนั้นการประกาศช่วงเวลาการเลือกตั้งที่ชัดเจน ก็จะช่วยให้ Sentiment การลงทุนในตลาดหุ้นดีขึ้นด้วย

แนะนำนักลงทุนคงสัดส่วนการลงทุน ตามพอร์ตการลงทุนในระยะยาวที่ได้วางแผนไว้

จากคำแนะนำเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่เราแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มพอร์ตการลงทุนในกองทุนหุ้นขนาดใหญ่ ในเดือนนี้ทางเราแนะนำให้นักลงทุนคงสัดส่วนการลงทุน ตามพอร์ตการลงทุนในระยะยาวที่ได้วางแผนไว้

หมวดหมู่ : Monthly Report

บทความแนะนำ

04 กุมภาพันธ์ 2563
2,664

แอดไลน์มาคุยกับเราได้นะ^^

 
แอดไลน์มาคุยกับเราได้ที่

Line : @allfinn