กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย ประจำเดือนมิถุนายน2562 : Uncle TU500
Key Takeaways :
GDPทั่วโลกถูกปรับลดคาดการณ์ต่อเนื่อง แต่ถูกชดเชยด้วยมุมมองDovishของFED ภาพระยะกลางยังมองว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาวSet Index ปรับตัวลดลง -3.2%ในเดือนพฤษภาคม
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤษภาคม2562 Set Indexปรับตัวลดลงจากระดับ 1,676.60 จุด มาปิดที่1,620.22 จุด คิดเป็นการปรับตัวลดลง -3.2% โดยได้รับปัจจัยกดดันจากกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ , ความรุนแรงของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงรุนแรงจากความกังวลเรื่องการเติบโตเศรษฐกิจโลกและความต้องการใช้น้ำมัน
โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม +2.3% กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ -0.2% และกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร -0.5% ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -17.5% กลุ่มท่องเที่ยวและสันทนาการ -13.3% และกลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ -5.9% โดยนักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ซื้อสุทธิ 3,672 ล้านบาท โดยในวันที่ 28 พ.ค. เพียงวันเดียว มีการซื้อสุทธิสูงถึง 12,535 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 15,549 ล้านบาท
ผลกำไรบริษัทจดทะเบียนออกมาต่ำกว่าคาดการณ์
บริษัทจดทะเบียนประกาศผลการดำเนินงานต่ำกว่าคาด ทำให้ตลาดปรับตัวลงแรง
การประกาศงบกำไรขาดทุนของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสแรกของปี 2562 บริษัทส่วนใหญ่มีผลการดำเนินงานต่ำกว่าคาด โดยกำไรในไตรมาสแรกของบริษัทจดทะเบียนรวมอยู่ที่ 2.53 แสนล้านบาท คิดเป็นการลดลง -9% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2561 แต่เพิ่มขึ้น 73% จากไตรมาส 4 ปี 2561
โดยกลุ่มธุรกิจที่ยังมีกำไรเติบโตจากปีที่แล้ว ได้แก่
- กลุ่มรับเหมาก่อสร้างเติบโตสูงถึง 182% จากปริมาณงานก่อสร้างทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ รวมทั้งการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ชมพู น้ำเงิน และส้ม
- กลุ่มธุรกิจการแพทย์เติบโตเพิ่มขึ้น 83% เนื่องจาก BDMS มีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนในหุ้น RAM เป็นจำนวนกว่า 6 พันล้านบาท หากไม่รวมรายการนี้ กำไรรวมของกลุ่มเติบโตได้เล็กน้อยจากปีที่แล้ว
- กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีกำไรเพิ่มขึ้นกว่า 60% เนื่องจากการที่ผู้ประกอบการเร่งยอดโอนให้ทันภายในไตรมาสแรกของปีนี้ หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดมาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อให้วงเงินต่อหลักประกัน (Loan-to-Value: LTV)
จากตัวเลขกำไรที่ประกาศออกมา ทำให้นักวิเคราะห์มีการปรับลดประมาณกำไรสุทธิของปี 2562 ลงเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เป็นผลให้กำไรต่อหุ้นของตลาดถูกปรับลดลงประมาณ 6-7% เป็นสาเหตุให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงแรง
สงครามการค้ารุนแรงมากขึ้น
จาก “Trade War” ยกระดับขึ้นสู่ “Tech War”
ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม พัฒนาการของสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเป็นไปในทิศทางที่แย่ลง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติม วงเงิน 2 แสนล้านเหรียญจากระดับ 10% เป็นระดับ 25% และประกาศห้ามบริษัทสัญชาติอเมริกันใช้อุปกรณ์โทรคมนาคมที่ผลิตโดยบริษัทที่ก่อความเสี่ยงด้านความมั่นคงแห่งชาติ เช่น บริษัท Huawei ของจีน
ทำให้จีนตอบโต้ด้วยการยุติการสั่งซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ และประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ วงเงิน 6 หมื่นล้านเหรียญ จากระดับ 10% เป็นระดับ 25% อีกทั้งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีการเดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตแร่ Rare Earth ในประเทศจีน ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตแม่เหล็ก ชิป ไมโครชิป และอุปกรณ์ที่ใช้ในสินค้า High Technology ต่าง ๆ เป็นการส่งสัญญาณข่มขู่สหรัฐฯ ทำให้ในท้ายสุด ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ขยายระยะเวลาการแบน Huawai ออกไป 90 วัน
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวนี้ได้จุดชนวนให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าเกี่ยวกับสินค้าเทคโนโลยี (Tech War) ขึ้น หุ้นในกลุ่มไอทีในจีนและสหรัฐฯ ปรับลดลงรุนแรง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าไอที
ความเห็น
การเมืองในประเทศเริ่มชัดเจน กับนายกฯที่ชื่อ "ลุงตู่ 500"
สำหรับการเมืองในประเทศ เริ่มมีความชัดเจนขึ้นหลังจากมีการเปิดประชุมสภา และมีมติเลือกประธานสภาเป็นนายชวน หลีกภัย โดยผลโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2562 ปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกฯที่ถูกเสนอชื่อโดยพรรคพลังประชารัฐ ชนะด้วยเสียงสนับสนุนจาก ส.ส. และ ส.ว. รวมกัน 500 คะแนน ขณะที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แคนดิเดตนายกฯ ฝั่ง7พรรคประชาธิปไตย ได้เสียงสนับสนุน 244 คะแนน
ซึ่งหากพรรคพลังประชารัฐมีการจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ก็จะทำให้โครงการต่าง ๆ ของรัฐขับเคลื่อนต่อไปได้ และเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติ
MSCI Rebalancing ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีการซื้อขายทะลุระดับ 2 แสนล้านบาท
จากการที่บริษัท MSCI ผู้จัดทำดัชนีอ้างอิงการลงทุนรายใหญ่ของโลก ได้มีการทบทวนเกณฑ์การคำนวณสัดส่วนหุ้นของดัชนี MSCI ierging Market โดยให้นำหุ้น NDVR เข้ามารวมในการคำนวณน้ำหนักของดัชนีได้ ส่งผลให้หุ้นไทยถูกเพิ่มน้ำหนักการลงทุนจาก 2.3% เป็น 2.8% คิดเป็นวงเงินลงทุนรวม 7.6 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้มีเงินทุนต่างชาติเข้าซื้อหุ้นไทยทันที 12,534.95 ล้านบาท ผลักดันให้ปริมาณการซื้อขายพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 2 แสนล้านบาทในวันที่ 28 พฤษภาคม 2562 และน่าจะยังมีเม็ดเงินไหลเข้าต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง โดยนักวิเคราะห์คาดมีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยทั้งหมดราว 2,400 ล้านเหรียญฯ (ประมาณ 75,000 ล้านบาท)
สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐน่าจะได้ข้อยุติในเร็วๆนี้
ระเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ท้ายสุดแล้วAllfinnมองว่าจะได้สรุปที่ชัดเจนในเร็วๆนี้ เพราะ โดยประเด็นสงครามการค้าได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2019 (GDP) ถูกปรับลดคาดการณ์ลงจาก 2.3% เหลือ 2.1% ซึ่งย่อมไม่เป็นผลดีต่อคะแนนความนิยมในตัวประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมีการเลือกตั้งในแต่ละรัฐ ในวันที่ 5 พ.ย. ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่ในช่วงปี2020
GDPทั่วโลกถูกปรับลดคาดการณ์ต่อเนื่อง แต่ถูกชดเชยด้วยมุมมองDovishของFED
ตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจทั่วโลก ยังคงถูกปรับลดมุมมองการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2019 (GDP) ถูกปรับลดคาดการณ์ลงจาก2.3%เหลือ2.1% ขณะที่ตัวเลขคาดการณ์GDPของไทยถูกปรับลดจาก 4.0% สู่ระดับ 3.8%
อย่างไรก็ตามธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% – 2.50% พร้อมมีมุมมองไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ จากเดิมที่เคยคาดไว้ว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง ส่งผลให้นักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง(Risk On)ทั่วโลก
ภาพระยะกลางยังมองว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว
Allfinn มองว่าในภาพระยะยาวตลาดหุ้นไทยยังคงน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว เนื่องจากปัจจัยเรื่องFund Flow ที่จะไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่มากขึ้น รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระยะสั้น และระยะยาวจากรัฐบาลชุดใหม่ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยยังเติบโตต่อเนื่องได้ในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า
ระยะสั้นแนะจับตาค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด หากต่ำกว่าระดับ 31บาท/USDจะส่งผลให้ดัชนีทะลุ1700จุด!
สำหรับคำแนะนำประจำเดือนมิถุนายน Allfinn เราแนะนำให้นักลงทุนจับตาดูการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด โดยปัจจุบัน(วันที่12มิถุนายน2562) ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 31.23 บาท/USD หากยังมีเงินทุนไหลเข้าต่อเนื่องจนทำให้ค่าเงินบาทหลุดแนวรับที่31บาท/USD คาดว่าจะส่งผลให้ดัชนีทะลุระดับ1,700จุดได้อย่างมีนัยยะ