กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย ประจำเดือนกุมภาพันธ์2564 : “อั่งเปา(จากลุงตู่)”
Key Takeaways :
เรายังมองตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในจุดที่เรียกว่า “โคตรแพง” โดยมีความหวังหนึ่งเดียว คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของลุงตู่SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น
+1.2% ในเดือนมกราคม
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในเดือนมกราคม2564 ดัชนี SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 1,449.35 จุด มาปิดที่ 1,466.96 จุด คิดเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้น +1.2% โดยปัจจัยบวกหลักได้แก่ ความคาดหวังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ และ งบการเงินของธนาคารฯไทยในไตรมาส4 ดีกว่าที่คาด ขณะที่ปัจจัยกดดันหลัก คือ การแพร่ระบาดของCOVID-19ระลอกสองในประเทศไทย
โดยกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ +11.9% กลุ่มธุรกิจการเกษตร +6.0% กลุ่มยานยนต์ +5.8% ขณะที่กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด ได้แก่ กลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง -2.6% กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ -2.2% กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ -1.5% โดยนักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายหุ้นไทยสุทธิ -10,902.95 ล้านบาท และที่นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิทั้งสิ้น -16,024.75 ล้านบาท
เศรษฐกิจโลกเริ่มกลับมามีความหวัง(อีกครั้ง)
เศรษฐกิจเริ่มกลับมามีความหวังอีกครั้ง
หลังจากนายโจ ไบเดน(Joe Biden) ได้เริ่มปฎิบัติหน้าที่ในฐานะประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการของสหรัฐ ตลาดก็ได้เริ่มความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินกว่า 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ
ขณะที่ในฝั่งประเทศไทยเอง ผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสที่4 ก็ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ โดยเติบโต +8% QoQ ส่งผลให้ตลาดคาดการณ์ว่าผลประกอบการของธนาคารส่วนใหญ่ผ่านจุดตํ่าสุดไปแล้วในปี 2563ที่ผ่านมา
COVIDยังป่วนไทยไม่เลิก
ผู้ติดเชื้อทั่วโลกทะลุ 100 ล้านราย
ส่วนไทยทะลุ 2 หมื่นรายเรียบร้อย
ขณะที่ยอดผู้ป่วยCOVIDของไทยก็ยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนน่าตกใจ โดยตัวเลขสถิติล่าสุด ณ.วันที่4กุมภาพันธ์2564
- ทั่วโลก : จำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด 104,911,186 คน มีจำนวนผู้เสียชีวิต 2,278,579 คน
- ไทย : จำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด 22,058 คน มีจำนวนผู้เสียชีวิต 79 คน
ซึ่งยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ยังสร้างความกังวลต่อภาครัฐ รวมถึงภาคประชาชนอยู่ไม่น้อย
ความเห็น
เราเคยคาดว่าผู้ติดเชื้อCOVID-19จะทะลุ2หมื่น ในสิ้นเดือนมีนาคม
แต่ล่าสุดทะลุเรียบร้อยแล้ว!
หากย้อนกลับไปดูบทวิเคราะห์ประจำเดือนมกราคม เราได้คาดการณ์ไว้อย่างน่าวิตก จำนวนผู้ติดเชื้อCOVIDในไทย มีโอกาสจะทะลุ2หมื่นคนภายในสิ้นเดือนมีนาคม
ซึ่งในตอนที่เขียนก็ถือว่าเป็นการคาดการณ์ที่ค่อนข้างน่าวิตกมากแล้ว แต่ความน่ากลัวดังกล่าว ถูกทำลายอย่างรวดเร็ว โดยตัวเลขล่าสุดทะลุ 2 หมื่นรายเรียบร้อยแล้ว!
คำถามก็คือ แล้วทางเราคิดว่าสถานการณ์นี้จะจบลงตรงไหน? ก็ต้องขอตอบแยกเป็น3มิติ คือ
- ในแง่ภาพรวม ต้องบอกว่า COVID จบไปแล้ว
- ในแง่สุขภาพ ต้องบอกว่า เรากำลังเข้าสู่จุดที่เรียกว่า 3เดือนที่อันตรายที่สุด
- ในแง่เศรษฐกิจ/ธุรกิจ ต้องบอกว่าปีนี้น่าจะเป็นปีแห่ง “ซอมบี้”
อาจจะฟังดูแล้วน่าขัดแย้งกันเอง เราจะขออธิบายแตกย่อยรายประเด็น ดังต่อไปนี้
ในแง่ภาพรวม ต้องบอกว่า
COVID จบไปแล้ว...
ในแง่ภาพรวม ต้องบอกว่า COVID จบไปแล้ว...
เพราะหากเรามองในแง่ของภาพใหญ่ ต้องบอกว่า จุดที่จะเป็นจุดเปลี่ยน(Tipping Point)ก็คือ การคิดค้นวัคซีน ซึ่งกระบวนการดังกล่าวก็จบลงเรียบร้อยแล้ว
ในหลายประเทศเริ่มมีการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าในมิตินี้ คนที่มองก็คือนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะ ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกได้ทะยานขึ้นต่อเนื่อง จนทำNew Highได้อย่างต่อเนื่อง
ในแง่สุขภาพ ต้องบอกว่า
เรากำลังเข้าสู่จุดที่เรียกว่า 3เดือนที่อันตรายที่สุด
ในแง่สุขภาพ เรามองว่า 3เดือนนี้ คือ จุดอันตรายที่สุด
เพราะสำหรับในประเทศไทย หากมองตามTimelineของรัฐบาล วัคซีนLotใหญ่ Lotแรกที่จะเริ่มฉีดให้ประชาชนทั่วไป ก็คือ ช่วงปลายเดือนเมษายน นั่นหมายถึงว่า ในช่วง3เดือนนี้ เราจะไม่มีตัวช่วยใดๆในการควบคุมโรคเลย นอกจากการดูแลตัวเอง อย่างเข้มข้นที่สุด
คนติดเชื้อ800รายต่อวัน
มาจากการสุ่มตรวจแค่จุดเสี่ยงเท่านั้น
ภายใต้สถานการณ์ที่ผู้ติดเชื้อรายใหม่รายวัน ยังคงแตะระดับ800ราย+อย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็ต้องหมายเหตุว่า เป็นตัวเลขที่มาจากสุ่มตรวจเชิงรุก แค่ในระแวกสมุทรสาคร และจุดเสี่ยงเท่านั้น
นั่นหมายความว่า มีโอกาสสูงมากที่เราจะมีผู้ติดเชื้อที่ไม่รู้ตัว ปะปนอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา และยิ่งหลายภาคส่วนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติ ทั้งบริษัทก็กลับไปทำงานที่ออฟฟิศ เด็กนักเรียนเข้าโรงเรียนตามปกติ
ก็หมายความว่ายิ่งเสี่ยงมากขึ้นไปอีก
เราคาดว่าผู้ติดเชื้อของไทยมีโอกาส
ทะลุ 5หมื่น-6หมื่นคน ในสิ้นเดือนมีนาคม
และเราคาดว่ากว่าจะเข้าจุดพีคก็น่าจะอยู่ในช่วงปลายเดือนมีนาคม…
นั่นหมายความว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อของไทย มีโอกาสทะลุ50,000-60,000คน ภายในสิ้นเดือนมีนาคม และกว่าจะควบคุมโรคได้จริงจัง ตัวเลขผู้ติดเชื้ออาจะมีสิทธิ์แตะระดับ100,000คนได้! (อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะ เพื่อนบ้านเราตอนนี้ ฟิลิปินทะลุ5แสนคน มาเลเซียทะลุ2แสนคน พม่า1.4แสนคน)
ดังนั้นเตือนตัวใหญ่ๆ ว่า อย่าประมาทเด็ดขาด!
แง่เศรษฐกิจ/ธุรกิจ
ต้องบอกว่าปีนี้น่าจะเป็นปีแห่ง “ซอมบี้”
เพราะหากเปรียบเทียบในปีที่แล้ว ในปีที่แล้วต้องเรียกว่าภาคธุรกิจอยู่ในห้องICU
แต่ปีนี้ ถึงแม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่จะสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ แต่ประชาชนส่วนใหญ่เริ่มอยู่ในภาวะชินชา จะบอกว่ากล้าจับจ่ายเต็มที่ ก็ยังไม่ใช่... แต่ครั้นจะกลัว ก็กลัวนานจนเริ่มจะเลิกกลัวไปแล้ว
ดังนั้นภาคเศรษฐกิจในปีนี้ จึงไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่ เรียกว่าแผลเก่าก็ยังไม่หาย แผลใหม่ก็ดูท่าทางจะเรื้อรัง ก็คงต้องกันฟันเดินกันต่อในรูปแบบซอมบี้แบบนี้ต่อไป
ความหวังเดียวของไตรมาส 1
อั่งเปาจากลุงตู่!
ความหวังเดียวของเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส1ของปีนี้ ก็คือ อั่งเปาจากลุงตู่ ภายใต้ชื่อ “เรา”ทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเป็น
- “เราไม่ทิ้งกัน” ที่แจกเงินสูงสุด7,000บาท ให้แก่ผู้ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม
- “เรารักกัน” ที่แจกเงินประมาณ 3,500-4,500บาท ให้แก่ผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคม
ซึ่งแน่นอนว่า อั่งเปาของลุงตู่อันนี้ จะเป็นยาที่จะช่วยเยียวยาภาคธุรกิจได้พักหายใจได้เป็นอย่างดี
SET Index ภายใต้สภาวะ
กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง
ทีนี้หันกลับมามองในแง่การลงทุนกันบ้าง ถ้าลองประสานภาพทั้งหมดเข้าด้วยกัน ก็จะไม่แปลกใจที่ว่า ทำไมSET Indexที่ระดับ1,500 จุด ถึงนัวเนียกันอยู่นานเสียเหลือเกิน เพราะถึงแม้ว่า ตลาดจะได้รับความหวังจากวัคซีน ซึ่งทุกคนล้วนมองกันว่าจุดต่ำสุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว
แต่ในแง่ของผลประการที่จะฟื้นตัว ก็ยังคงไม่กลับมาในปีนี้ เข้าทำนองแผลเก่าก็ยังไม่หาย แผลใหม่ก็ดูท่าทางจะเรื้อรัง จึงทำให้SET index เกิดสภาวะ “กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง”…
เรายังมองตลาดหุ้นยังอยู่ในจุดที่เรียกว่า “โคตรแพง”
แนะนำให้ ทยอยขายลดพอร์ต
แล้วในแง่กลยุทธ์การลงทุนหล่ะ ทางAllfinnมองยังไง?
เรายังเชื่อในปัจจัยพื้นฐานเป็นหลักอยู่เสมอ ภายใต้สภาวะตลาดที่P/E ยังคงเกือบแตะระดับ30เท่า ซึ่งต่อให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนฟื้นตัวเข้าภาวะปกติ P/E ณ.ดัชนีระดับ1500จุด ก็ยังแตะระดับเกือบ20เท่า ซึ่งเรียกว่า “โคตรแพง”
ดังนั้น ในแง่กลยุทธ์การลงทุน เราจึงแนะนำให้นักลงทุนทยอยขายลดพอร์ต “เพื่อสะสมกระสุน”
รอในวันที่มีข่าวไม่คาดฝัน เข้ามากระทบตลาด เมื่อนั้นก็จะเป็นโอกาสให้เข้าซื้อของดีราคาถูกอีกครั้ง เพราะช่วงเวลานี้ ความแน่นอนที่สุด ก็คือ ไม่มีอะไรแน่นอนเลย